ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งสำหรับการฉาบ ปูนซีเมนต์ ก็คือรอยแตกร้าว ผนังอิฐไม่เรียบสวยงาม ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการวางแผนเตรียมการที่ไม่ถูกต้อง หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น คุณภาพของวัตถุดิบ ส่วนผสมที่ใช้ สาเหตุของรอยร้าวที่เห็นบนผนังนั้นอาจจะเกิดได้มาจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้น จะเป็นเรื่องของเทคนิคในการฉาบปูน ซึ่งปูนที่ฉาบนั้นอาจจะมีแรงยึดเหนี่ยวที่น้อยไป ซึ่งทำให้มีรอยแตกร้าวบนผนังได้ ดังนั้นเราจะสามารถควบคุมการฉาบปูนให้ถูกวิธีก็จะช่วยให้รอยร้าวบนผนังเกิดขึ้นได้น้อยหรือยืดอายุการเกิดรอยร้าวได้ 

รวมเทคนิค ที่ทำให้ปูนแข็งแรง ลดการแตกร้าว

1. ต้องนำอิฐแช่น้ำก่อน 1 ชั่วโมง

เราจะเห็นได้ค่อนข้างบ่อยว่าพี่ช่าง มักจะมีการนำอิฐไปแช่น้ำในถัง หรือใช้สายยางฉีดน้ำเพื่อให้อิฐเปียก วิธีการนี้จะช่วยให้อิฐอิ่มน้ำ อิฐจะได้ไม่มีการแย่งน้ำจากเนื้อปูนก่อ ทำได้ทั้งการรดน้ำให้ชุ่ม หรือแช่น้ำเลยก็ได้ แต่ก่อนจะนำมาใช้งานก่อ ต้องผึ่งลมให้ผิวด้านนอกหมาดตัวดีเสียก่อน แล้วจึงนำมาใช้งานต่อไป..เป็นงานที่ต้องพิถีพิถันมากทีเดียว

2. ต้องก่ออิฐแบบสลับแนว

แม้ว่าผนังทั่วไปจะเน้นการก่อแบบครึ่งแผ่นอิฐ หรือก่ออิฐแถวเดียวซึ่งดูไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนมากนัก แต่ก็ควรก่อสลับแนว เพื่อการยึดประสานกันระหว่างชั้นอิฐ ให้ผนังออกมามีความแข็งแรง ทนทาน

3. ชั้นปูนระหว่างอิฐต้องไม่หนาเกิน 1.5 เซนติเมตร

ในกรณีที่ใช้อิฐมอญ และอิฐบล็อค ชั้นปูนก่อไม่ควรหนาเกิน 1.5 เซนติเมตร เนื่องจากจะทำให้สิ้นเปลืองเนื้อปูน และยังทำให้เกิดการทรุดตัวมากเกินความจำเป็นเมื่อชั้นปูนก่อเริ่มแห้ง (เป็นการทรุดตามปกติ ไม่เป็นอันตราย) และยังจะทำให้ผนังปัญหาโน้มเอียงไม่ได้ดิ่งได้อีกด้วยยกเว้นอิฐมวลเบา ที่ตัวเนื้อปูนเป็นปูนกาวพิเศษที่เสริมแรงยึดเกาะ ที่การก่อจะบางเพียง 2-3 มิลลิเมตรเท่านั้น

4. ต้องมีเสาเอ็นแล้วคานทับหลัง

เสาเอ็นและคานทับหลัง ควรมีทุก ๆ ระยะความกว้าง 2.5 เมตร และความสูง 1.5 เมตร เพราะจะทำหน้าที่กระจายน้ำหนักของอิฐก่อผนัง และช่วยไม่ให้ผนังพังพับลงมาได้ ความกว้างของเสาเอ็นและคานทับหลังควรกว้างไม่น้อยไปกว่า 15 เซนติเมตร และหนาเท่ากับความหนาของอิฐ โดยควรมีการเสริมเหล็กโครงสร้างภายในก่อนการหล่อ เพื่อความแข็งแรงด้วย

5. ต้องมีเสาเอ็นที่มุมกำแพง

เช่นเดียวกับเสาเอ็นที่แทรกตัวระหว่างกำแพง เสาเอ็นจะทำหน้าที่เป็นโครงให้ผนังยึด เราไม่ควรก่ออิฐเป็นมุมโดยไม่มีเสา เนื่องจากแนวอิฐจะไม่มีโครงอะไรให้ยึด และส่งผลต่อความแข็งแรงในระยะยาวได้

6. ต้องมีเสาเอ็นที่วงกบประตูและหน้าต่าง

ทุกช่องเจาะ ควรมีเสาเอ็นและคานทับหลังล้อมเป็นกรอบไว้ เพื่อช่วยเป็นโครงให้กับวงกบประตูหรือหน้าต่าง ซึ่งจะมีการขยับเขยื่อนจากการเปิดปิดตลอดเวลา ช่วยกระจายแรงกระทำต่อผนังอิฐ และไม่ควรลืมติดลวดตะแกรงกรงไก่ที่มุมวงกบด้วย เพื่อช่วยกระจายแรงให้กับชั้นปูนฉาบด้วย

7. ต้องเสียบเหล็กหนวดกุ้งทุกระยะ

ผนังอิฐที่แข็งแรง จะต้องมีตัวช่วยยึดชั้นก่ออิฐกับเสา ซึ่งเราใช้วิธีการเสียบเหล็กเส้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร เสียบไปในเสาคอนกรีต ให้มีความยาวส่วนที่ยื่นออกมาไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร เพื่อยึดให้ผนังอิฐมีความแข็งแรง ไม่หลุดออกจากแนวเสา หรือล้มลงมา

8. ต้องรดน้ำอิฐก่อนฉาบ

หลังจากก่อเสร็จแล้ว เราควรทิ้งช่วงให้ชั้นปูนก่อเซ็ทตัว ก่อนทำการฉาบต่อไป ซึ่งก่อนฉาบ 1 วัน ควรมีการรดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งไว้ก่อน และรดน้ำซ้ำอีกครั้งในเช้าวันฉาบ เพื่อป้องกันอิฐแย่งน้ำจากเนื้อปูนฉาบ ซึ่งจะทำให้เกิดการแตกร้าวได้

 

9. ใช้เครื่องผสมปูนเข้ามาช่วย

แม้ว่าการใช้จอบแบบดั้งเดิมจะผสมปูนได้เช่นเดียวกัน แต่เนื้อปูนจะเข้ากันได้ดีกว่า หากเราใช้เครื่องมือผสม อย่างสว่านไฟฟ้าติดใบกวน หรือเครื่องผสม เพราะการตีเนื้อปูนด้วยเครื่องมือเหล่านี้ จะทำให้เนื้อปูนเข้ากันได้ดีกว่าการผสมด้วยมือ ช่วยให้เนื้อปูนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

10. ต้องรดน้ำต่อเนื่องเพื่อเป็นการบ่มผนัง

น้ำเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาความแข็งแกร่งของปูน ดังนั้น เพื่อให้เนื้อปูนมีน้ำเพียงพอต่อการทำปฏิกิริยานั้น ควรมีการรดน้ำผนังที่ฉาบเสร็จแล้วต่อไปอีกวันละอย่างน้อย 1 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 3-7 วันหลังฉาบเสร็จ น้ำที่นองในไซท์งานจากการรดน้ำอาจจะทำให้การทำงานในส่วนอื่นลำบากไปบ้าง แต่ไม่ควรละเลย เพราะการทำงานในขั้นตอนนี้จะส่งผลต่อการป้องกันการแตกร้าว และความแข็งแกร่งของผนัง

รวมข้อห้าม ในการก่ออิฐและฉาบพื้น

1. ไม่ควรก่ออิฐภายในวันเดียว

งานก่ออิฐเป็นงานที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของผนัง แม้ว่าอาจดูเป็นงานที่น่าจะทำให้เสร็จได้ภายในวันเดียว แต่ปูนที่นำมาก่อนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาในการเซ็ทตัวและพัฒนาความแข็งแรง รวมถึงน้ำที่ระเหยออกจากเนื้อปูนจะทำให้ปูนยุบตัวลงเล็กน้อย แม้จะเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แต่ก็ส่งผลให้เกิดการแตกร้าวของผนังหลังฉาบได้เช่นกันดังนั้นควรวางแผนให้มีการก่อผนังและมีระยะเวลาสำหรับหล่อเสาเอ็นและคานทับหลังเมื่อก่อได้ระยะความสูง หรือกระทั้งควรเว้นระยะชนท้องคาน เพื่อให้ปูนยุบตัว ก่อนมีการก่ออิฐชั้นสุดท้าย

2. อย่าก่ออิฐชนท้องพื้นสำเร็จของชั้นบน

เพราะพื้นสำเร็จมักจะให้ตัวได้ การก่อผนังจนชนท้องพื้นสำเร็จ จึงอาจทำให้เมื่อพื้นสำเร็จให้ตัว ทำให้เกิดแรงกดลงบนสันของผนัง แรงกดนี้จะทำให้เกิดการแตกร้าวของผนังได้

3. อย่าก่ออิฐบนพื้นสำเร็จรูปหรือพื้นที่ไม่มีคานรับ

เพราะพื้นสำเร็จจะมีความสามารถในการให้ตัว และอาจไม่ได้แข็งแรงพอรับน้ำหนักของผนัง การก่ออิฐเสมือนการเอาน้ำหนักไปวางไว้บนแผ่นไม้ น้ำหนักยิ่งมากพื้นอาจจะมีการแอ่นตัวหรือที่ร้ายแรงกว่า คือแผ่นพื้นสำเร็จจะแตกหัก วิศวกรควรออกแบบให้ผนังอิฐตั้งอยู่บนคานโครงสร้างที่มีการเสริมเหล็กและออกแบบส่วนผสมคอนกรีตให้รับน้ำหนักได้ เว้นแต่จะออกแบบไว้

 

4. อย่าฉาบเร็วเกินไป

งานฉาบเป็นงานที่ต้องอาศัยความพิถีพิถัน ช่างปูนกว่าจะสามารถทำงานฉาบได้อาจต้องมีประสบการณ์ด้านงานอื่นๆ มาเป็นเวลานานก่อนจะได้รับความไว้วางใจให้ทำงานฉาบคงจะผิดพลาดมหันต์ถ้าเราเร่งรัดขั้นตอนการฉาบกับงานที่คาดหวังความสวยงาม และความคงทนยาวนาน ควรใส่ใจขั้นตอนฉาบให้มาก เพราะเป็นเหมือนการปั้นแต่งผิวหน้าให้เรียบเนียน พร้อมสำหรับการตกแต่งในขั้นตอนสุดท้าย เราคงไม่อยากได้ผนังที่มีคลื่น นูนต่ำไม่เท่ากัน หรือมีเม็ดทรายโผล่ออกมาที่ผิวมากเกินไปซึ่งบางครั้ง การปิดผิวด้วยสี หรือกระเบื้องอีกชั้น ก็อาจจะไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้อีกแล้ว

5. อย่าฉาบหนาจนเกินไป
แม้ว่าชั้นปูนฉาบจะเป็นชั้นที่ปิดผิวผนังให้ดูเรียบร้อย แต่ก็ไม่ควรฉาบให้หนาเกินไป เพราะชั้นปูนฉาบจะแห้งช้าลง ทำให้เป็นอุปสรรค์ต่อการทำงานได้ อีกทั้งจะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำหนักหากจำเป็นจริง ๆ เช่น ผนังก่ออิฐมีการโน้ม หรือโน้มไปด้านหลังบางส่วน ทำให้ต้องเพิ่มความหนาของปูนฉาบ แนะนำให้เติมปูนในส่วนที่อิฐโน้มไม่ได้ดิ่งนั้นก่อน จากนั้นทิ้งไว้ให้ปูนเซ็ทตัว ก่อนจะฉาบปิดผิวหน้าให้ได้ระนาบ

 

โดยปกติ ช่างจะมีการจับปุ่ม หรือปั้นปูนตามเสา เพื่อหมายความหนาของชั้นปูนฉาบให้ได้ระนาบและแนวดิ่ง ซึ่งความหนาจะถูกกำหนดจากความหนาของวงกบประตูหรือหน้าต่าง แต่อาจปรับเปลี่ยนได้หากผนังที่ก่อไว้ มีความโน้มเอียง แต่ทั้งนี้ ชั้นปูนฉาบไม่ครหนาเกินไปกว่า 1.5 เซนติเมตร

6. อย่าเห็นแก่ราคาวัสดุที่มีคุณภาพถูก

วัสดุก่อสร้าง เป็นสิ่งที่ใช้ประกอบขึ้นมาเป็นบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งต้องการความแข็งแรงทนทานใช้งานยาวนาน แต่ความจำกัดของงบประมาณอาจทำให้หลายคนเลือกวัสดุที่ราคาถูก และเน้นที่ความสวยงามเป็นหลักการทำให้ราคาถูกลงในหลายๆ ครั้งหมายถึงการลดคุณภาพให้เหลือแค่ระดับมาตรฐาน วัสดุราคาถูกอาจสามารถสร้างขึ้นเป็นบ้านหนึ่งหลังได้ แต่อายุการใช้งานอาจต่ำกว่าที่คาดหวัง ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป อาจต้องมีการซ่อมแซม  

 

และนั่นคือเทคนิคทั้งหมดในการช่วยให้งานผนังปูนออกมาทนทาน สวยงาม ลดโอกาสแตกร้าวได้ดี ผนังปูนที่สวยงาม ก็ทำให้บ้านสวยดูดี โดยไม่ต้องทำอะไรมาก ในทางตรงข้าม บ้านที่มีปัญหาผนังปูนแตกร้าว แก้ไขได้ยาก บางครั้งถึงกับต้องทุบทำใหม่ จะเห็นว่าการทำผนังให้สวยงามไม่แตกร้าวและแข็งแรงทนทานนี่ ถือเป็นงานฝีมือจริงๆ ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์

ขอบคุณภาพและข้อมูลประกอบจาก 

http://www.tigerbrandth.com/“ปูนเสือ” www.tigerbrandth.comและ www.facebook.com/TigerBrandTH